ไม่เคยวางแผนก็ต้องวาง ถ้าไม่ได้เริ่มก็เริ่มไปพร้อมกันตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ เพราะการวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องของคนรวย แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนจริงๆ เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก
ที่สำคัญ ต้องเริ่มเก็บเงินก่อนแล้วค่อยใช้ ไม่ใช่รอให้เงินเหลือแล้วค่อยเก็บ เราถือคติที่ว่า “เงินเข้ามาปุ๊ป แบ่งส่วนเก็บไว้ก่อนเลย เพราะถ้ารอเหลือจะไม่เหลือแน่ๆ” จะมากจะน้อย ก็ดีทั้งนั้นค่ะ ขอแค่เริ่มวางแผนการเงินที่ดีเพื่อครอบครัว
ส่วนที่ 1 ออมเงินระยะสั้น – บัญชีนี้ออมทรัพย์ ฝาก-ถอนมาใช้จ่ายได้จิปาถะ ใส่เงินแค่พอใช้ เช่น 20% ของเงินเดือนใช้ถอนได้ตลอดเวลา แต่ควรควบคุมการใช้เงินประจำสัปดาห์หรือประจำเดือนให้ดี
จุดประสงค์ของเงินก้อนนี้ ไม่ใช่เพื่อให้เงินเติบโตหรือเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ เพราะบัญชีออมทรัพย์ปกติให้ดอกเบี้ยน้อย เหมาะไว้หยิบถอนตามวงเงินที่เราจำกัดไว้ ไม่ใช้เพลินมากกว่า
ส่วนที่ 2 ออมเงินระยะยาว – ฝากประจำ ถอนออกไม่ได้ถ้ายังไม่ครบกำหนดตามเงื่อนไขของธนาคาร ได้ดอกเบี้ยดีกว่าแบบออมทรัพย์ มีสองแบบคือ ฝากครั้งเดียวและจะถอนได้เมื่อครบกำหนด กับฝากเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งแบบหลังจะเหมาะกับการฝึกวินัยในการออมมากกว่า
ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากประจำอาจจะไม่สูงเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ต้องเก็บส่วนนี้ไว้เพื่อระยะยาวที่มั่นคง เงินอยู่กับเราแน่นอน ถ้าถามว่าเราต้องมีเงินส่วนนี้มากแค่ไหน ในวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมาก็คงตอบได้ว่า มากกกกก และถ้าจะให้อุ่นใจยิ่งขึ้น เราควรมีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินอีกก้อนนึง ที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน และสามารถถอนออกมาใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน
ส่วนที่ 3 การลงทุนต่อยอดเงินคงไม่ใช่แค่เฉพาะนักธุรกิจแล้วนะคะ ครอบครัวอย่างเราถ้าวางแผนยาวก็ควรศึกษาการลงทุนด้วยเพราะเราเลือกลงทุนตามงบได้ ไม่จำเป็นต้องเยอะ แนวคิดของบ้านอายจะแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ก้อนเพื่อเป้าหมายที่เห็นชัดที่สุดคือ
ก้อนที่ 1 ให้ลูกเรียนหนังสือจนจบ เช่น เป้าหมาย 10 ปี เพื่อการศึกษาร็อคกี้จะเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายพอดี และถึงตอนนั้นเราคงไปต่อถ้ามีเงินเก็บที่งอกขึ้นมากพอให้หมดห่วงว่าลูกเรียนจบ
ก้อนที่ 2 ลงทุนสำหรับวัยเกษียณ ถึงวัย 50 เราจะไม่ได้ทำงานหนักๆ อีกต่อไปแล้ว แล้วช่วงนั้นเราจะมีรายได้จากอะไร เพียงพอไหม ถ้าต้องเก็บเผื่อให้มีเงินใช้ไปจนแก่ เช่นเดือนละ 15,000 บาท ไปซัก 10 ปี อายุ 60-70 เราต้องใช้เงินกี่บาท ต้องคิดเผื่อเพื่อลงทุนสำหรับส่วนนี้ด้วย
ยุคนี้การลงทุนมีหลายแบบ ทั้งการเล่นหุ้น กองทุนรวม ที่มีระดับความเสี่ยงและโอกาสให้ผลตอบแทนแตกต่างกันไป ช่วงสิ้นปีแบบนี้ ถ้าจะลงทุนควรจะต้องเลือกแบบที่ใช้นำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย เพราะถือเป็นประโยชน์ 2 ต่อ ได้ทั้งลงทุนและได้ลดหย่อนภาษี กองทุนที่อยากแนะนำในตอนนี้ คือ K-CHANGE-SSF เหมาะลงทุนเพื่อเป้าหมาย 10 ปี และ K-CHANGE-RMF เหมาะลงทุนเพื่อวัยเกษียณ ทั้ง 2 กองทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีเพราะลงทุนในหุ้นเมกะเทรนด์ที่ดีต่อโลก สิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย เช่น Moderna, Tesla, Alibaba
แต่ถ้าไม่อยากลงทุนแบบเสี่ยงมากเกินไป ก็สามารถเลือกกองทุน K-GINCOME-SSF หรือ K FIXED INCOME RMF ก็ได้
– กองทุน K-GINCOME-SSF เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก มีจุดเด่นตรงที่มีโอกาสได้รับเงินปันผลระหว่างลงทุน
– กองทุน K FIXED INCOME RMF เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความผันผวนต่ำ เพราะลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเก็บเงินก้อนนี้ไว้สำหรับใช้หลังเกษียณ
กองทุนทั้งหมดของกสิกรไทย สามารถซื้อได้ง่าย ๆ ผ่าน K PLUS, K-My Funds และ K-Cyber Invest ที่พิเศษไปกว่านั้น ลูกค้าที่ลงทุนใน SSF และ RMF ของบลจ. กสิกรไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Cash Back สูงสุด 1,000 บาท* และ Starbucks e-Coupon 100 บาท* ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://kbank.co/3kqt15i
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
-ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
ส่วนที่ 4 ประกันชีวิต เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจ เพราะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อาจจะเป็นอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้นการทำประกันไว้จึงช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งหนึ่งในประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ คือประกันชีวิต OnePlus 10/1 จากกสิกรไทย สามารถซื้อได้สูงสุด 100,000 บาท จ่ายเบี้ยเพียงครั้งเดียวก็คุ้มครองได้ยาว 10 ปี ซื้อได้ง่าย ๆ ผ่าน K PLUS